2550/10/29

ตัวแบบ

มันก็ตลกดีที่พบว่า เมื่อวานเรามีความสุขมาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศซ้อมหรืออย่างไร
แต่การเต้น contem นั้น เรารู้สึกเหมือนกับว่า
ได้ปลดปล่อยพลังบางอย่างออกไป
ไฟในตัวเราได้รับการปลุกปลอบขึ้นอีกครั้ง
จะว่าไปเหนื่อยแทบตาย แต่หายเป็นปลิดทิ้ง
ทุกครั้งที่เรานึกถึงเขา
ผู้ชาย 2 คนนั้นที่มีอะไรคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ผิดกันแต่ว่า คนหนึ่งยังอยู่ อีกคนหนึ่งจากไปแล้ว

ในเวลาซ้อมที่แสนทรมานนั้น ได้แต่ถามตัวเองว่า
เป็นมืออาชีพเพียงพอไหม ทำไมแค่นี้จะทนไม่ได้
ก็ในเวลาซ้อมนี้แหละที่เราจะบริหารไฟศิลปินในตัว
ในเมื่อไม่อยากจะเป็นแค่ dancer
ที่หลายครั้งแทบจะแยกจากกะหรี่ไม่ได้
เราก็ต้องเต็มที่กับการซ้อมที่สุด

เหนือสิ่งอื่นใด นั่นเพราะเรามีแบบอย่างให้เรายึดถือ
..อ่อนโยน ยิ้มง่าย อะไรก็ได้ และเต็มที่ทุกครั้ง...
เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองให้เป็นแบบนั้น
ไม่ใช่เพราะอยากให้ใครๆรักเหมือนเขา..แบบอย่างของเรา
แต่อยากให้อย่างน้อยมีสักคนในวันหนึ่งข้างหน้
นึกถึงเราว่าเรานั้นเหมือนกับคนคนนั้น ก็คงปลาบปลื้มเหลือเกิน
แต่นั่นก็คงจะยากเย็นมากมายนัก
ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เราสนุกกับการซ้อม
และสนุกกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

เรารู้สึกเลยว่า เราเต้นด้วยใจรัก
แค่เพียงนึกหน้าเขาตอนร้องเพลง
สายตาที่พริ้มหลับ และใบหน้าที่อ่อนโยน
เหมือนกับว่า เขามีความสุขในการร้องเพลงอย่างมากมาย
ก็แล้วทำไมเรามีความสุขกับการเต้นอย่างมากมายไม่ได้
ใช่ แล้วเราก็มีความสุขเหลือเกิน เมื่อวานนี้
อะไรนอกกาย เราไม่สน
แค่เราได้เต้น แค่นั้นโลกก็หยุดหมุนแล้ว

ด้วยความระลึกถึง
เด็กหญิงบนหลังคา

2550/10/26

สิ่งที่เกิดขึ้น

อะไรน่ะเหรอที่เกิดขึ้น
ก็...แค่เต้นไม่ได้แค่นั้นเอง
คาดหวังสูง ก็ผิดหวังมาก ก็เท่านั้น
ความรู้สึกเช่นนั้นกลับมาอีกแล้ว
ความอิจฉามันช่างเหมือนปีศาจหลอกหลอน
ฉันรักการเต้นรึเปล่า ฉันรักมันนี่นา
ทำไมฉันถึงไม่มีความสุขกับมันล่ะ
เพราะความคาดหวังกับตัวเองที่มากเกินไปรึเปล่า
มากเกินกว่าที่เราจะรองรับมันได้

เรียนเสร็จก็เดินกลับบ้าน เดินไปฟัง ipod ไป
อัดเสียงสัมภาษณ์เก่าๆเมื่อ 5 ปีที่แล้วจาก greenwave ไว้
ได้ยินพี่เจี๊ยบ วรรธนา วีรยวรรธนะ บอกว่า...
พี่โจ้ดูเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเวลาเขาอยู่บนเวที
และยังมี พี่บี๋ คณาคำ อภิรดี บอกว่าคนคนนี้ร้องเพลงด้วยหัวใจ
ใช่ ใช่เลย ฉันเห็นด้วย พี่โจ้ดูมีความสุขที่สุดในโลกจริงๆ
บางทีในชั่วขณะที่เขาร้องเพลง
อาจจะเป็นเวลาที่เขาได้เป็นอิสระจริงๆก็ได้
และนั่นทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

พี่อั๋น ภูวนาท คุนผลิน พูดไว้ด้วยว่า
ศิลปินไทยหาคนที่จะเรียกว่าเป็นศิลปินค่อนข้างยาก
อย่างพี่โจ้เนี่ย เป็นศิลปินจริงๆ
คือว่าไม่ใช่แค่ร้องเพลงเพราะ
แต่ร้องอย่างคนที่ตั้งใจจะสื่อสาร บอกเล่า
ถ่ายทอดความรู้สึกตรงนั้นจริงๆ
เป็นคนที่อ่อนโยนมากๆ และสุภาพมากๆที่สุดแล้ว
และมีรอยยิ้มที่เราต้องยิ้มตอบทันที

แล้วตัวฉันเองล่ะ จริงๆแอบดีใจเหมือนกัน
เพราะเช่นเดียวกับพี่โจ้ บนเวทีในขณะที่ฉันกำลังแสดง
ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิตที่สุด
การแสดงทุกครั้งที่ผ่านมา ฉันทำมันด้วยหัวใจ
และฉันก็ไม่ได้เพียงอยากเป็นนักเต้นที่แค่เต้นสวยเท่านั้น
แต่ฉันอยากจะเป็น "ศิลปิน" จริงๆ

จะมากไปมั้ย ถ้าจะบอกว่า ฉันอยากจะเป็นเหมือนพี่โจ้
และขอขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันในเวลาอย่างนี้
ทำให้ฉันพร้อมที่จะเปิดใจให้ยินดีกับสิ่งที่ฉันทำอีกครั้ง
ฉันจะมีความสุขกับการเต้น เพราะความสุขเหมือนสายน้ำ
คนที่มีความสุขกับงานศิลป์ของตัวเองเท่านั้น
ที่จะสามารถส่งผ่านความสุขไปยังผู้เสพได้
ฉันจะเต้นด้วยหัวใจอีกครั้ง เหมือนอย่างที่ฉันเคยเป็นมา
ฉันอยากให้ผู้คนจำฉันได้

และถ้าวันหนึ่งฉันต้องลาโลกนี้ไป
ฉันจะไม่ยอมให้ผู้คนมาอำลาฉันด้วยคราบน้ำตา
แต่ฉันอยากให้มีเพียงเซ็งแซ่ว่า
ฉันใช้ชีวิตของฉันเพื่อที่จะบรรลุซึ่งความใฝ่ฝันอย่างเต็มที่แล้ว
ดังนั้น การจากไปของฉัน ไม่ได้น่าเสียดาย
หากจะเป็นที่จดจำตลอดไป

...คิดถึงพี่โจ้...
จาก เด็กหญิงบนหลังคา

เมื่อฉันจิตตก และคิดถึง Pause

เย็นนี้ฉันมีเรียนบัลเล่ต์
จากที่เคยเรียนทุกวัน วันละ 3 ชั่วโมง
เดี๋ยวนี้เหลือเพียงสัปดาห์ละครั้งก็เก่งแล้ว

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ฉันก็ไปเรียน
แต่ก็เรียนไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ขอกลับบ้าน
เหตุผลทั้งหมดนั่นเป็นเพราะคำพูดของคนคนหนึ่ง
ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจะต้องใส่ใจ
แต่การไม่ใส่ใจไม่ใช่ว่าเราจะหลอกตัวเองได้นี่นา
คำว่า "อ้วน" คำเดียว มันทำให้ฉันหมดแรงเลยทีเดียว
...กลับบ้าน...ใจของฉันร่ำร้องเช่นนี้
งี่เง่าใช่ไหม ก็นี่แหละ เรื่องงี่เง่าๆที่ฉันอยากจะเล่า

แล้วสิ่งที่ฉันทำหลังจากเดินออกจากสตูดิโอก็คือ
เลี้ยวเข้าร้านขนมปัง แล้วซื้อทุกอย่างที่ฉันอยากกิน
มีตังค์ในกระเป๋านี่ ไม่กลัวอยู่แล้ว
อ้วนเหรอ ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ
บางทีฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนรูปร่างดีก็ได้
แล้วฉันก็ทำในสิ่งที่เลวร้าย
เลวร้ายเกินกว่าจะบอกให้ใครรู้
ฉันทำอีกแล้ว
อย่างกักขฬะ
น่าขยะแขยง
และตะกละตะกราม
อย่าสงสัยเลย มันไม่น่ารู้หรอก

ฉันเข้าสู่ช่วงจิตตกนับแต่นั้นมา
วันต่อมาเป็นวันเสาร์
ฉันมีสอน แต่ฉันซังกะตาย
มันก็เป็นเพียงแค่ละครอีกฉากหนึ่งเท่านั้น
ที่ฉันจะต้องปั้นหน้า และแสดงบทบาท
ว่าฉันเป็นครูที่ดี เป็นนักเต้นที่เก่ง และมีวินัย
และฉันนี่แหละ ที่จะสร้างน้องๆรุ่นต่อไป
ให้ไม่เป็นเพียงนักเต้น ที่เพียงแต่เต้นได้
แต่จะต้องเป็นศิลปินที่นำเสนอผลงานและแนวคิดของเขา
ผ่านท่วงท่าแห่งลีลาและทำนองของการเคลื่อนไหว
ใช่ นั่นคือความฝันของฉันเอง
และฉันจะถ่ายทอดมันไปสู่นักเรียนของฉันด้วย

ฉันเล่นละครเพื่อกลบความหดหู่ในจิตใจ
ฉันไม่แข็งแกร่งพอจะข้ามธารความสิ้นหวังนี้ไปได้
ฉันท้อ และเบื่อหน่ายตัวเอง ที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
ฉันกลับเข้าสู่โลกของความซึมเศร้าอีกแล้ว
ความซึมเศร้าที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นโรครึเปล่า
รู้แต่ว่า 2 ปีมานี้ มันวนเวียนอยู่ในชีวิตฉันไม่ห่าง
ตอนบ่ายของวันเสาร์ที่ฉันควรจะซ้อมเต้น
ฉันกลับเบี้ยวตัวเอง หนีไปเดินเล่น ไปหาขนมกิน
เพราะหวังว่ามันจะช่วยเยียวยาอารมณ์ที่ไม่ปกตินี้ได้

แล้วฉันก็ได้มีโอกาสดู MV เก่าๆเพลงหนึ่ง โดยบังเอิญ
ยังจำวง Pause กันได้อยู่รึเปล่า
ฉันสงสัยว่า ถ้าวันนี้พี่โจ้ยังอยู่ จะเป็นอย่างไรหนอ
เขาจะอยู่ในหัวใจของใครหลายๆคนเหมือนตอนนี้รึเปล่า
หรือว่าเขาจะถูกคลื่นลูกใหม่กลบทับ ซัดลงท้องทะเล
เหมือนๆกับนักร้องเก่าๆหลายคนในปัจจุบัน
ทำไมคนที่จากไปแล้วเท่านั้นถึงกลายเป็นตำนาน
ทำไมคนที่ยังอยู่กลับถูกลืมเลือน

MV เพลงมีเพียงเรา กับรอยยิ้มของพี่โจ้
มันทำให้ฉันสงสัยว่า เจ้าของรอยยิ้มนั้น
เจ้าของแววตาสดใสคู่นั้น เขาฆ่าตัวตายได้อย่างไร
และยิ่งดู ฉันก็ยิ่งรู้สึก "สะท้านใจ" ต่อแววตานั้น
เพราะรอยยิ้มและความหวังในดวงตาที่มองผ่านกล้อง
มันเข้ามากระทบกับสิ่งที่อยู่ในใจฉันอย่างจัง
ความหวังที่สดใสงดงามมันสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
มันเหมือนกับเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันลุกขึ้นสู้ต่อ
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเขาตัดสินใจที่จะปิดมันลงชั่วนิรันดร์
สิ่งที่ฉันทำได้ ก็คงเป็นเพียงเก็บรอยยิ้มและแววตานั้นไว้
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังให้ฉันสู้ต่อไป
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ยังไงก็ขอบคุณที่สุดในหัวใจ

2550/10/25

อารัมภบท...แค่อยากเป็นศิลปิน

"ความเป็นเด็กทำให้หัวใจเราสดใหม่
และคงมีแต่ความฝันกับความหวังเท่านั้น
ที่คอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของความเป็นเด็กนั้นเอาไว้ได้"

ชีวิตของนักเต้นที่ไม่อยากเป็นเพียงนักเต้น...ง่ายนักหรือ
เมื่อนักเรียนบัลเล่ต์คนหนึ่งไม่ต้องการเป็นเพียง dancer
หากดิ้นรนไขว่คว้าจะดำรงสถานะของ "ศิลปิน"
มันต้องทุ่มเททั้งจิตใจ และแลกด้วยชีวิตทั้งหมด
เกินไปหรือเปล่าที่พูดอย่างนี้
ไม่เลย เพราะทั้งหมดที่ทำลงไปนั้น
มันคือทั้งหยาดเหงื่อ และน้ำตา

ย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว
ในยามที่ความฝันสุกงอมเต็มที่
และผลิใบออกมาในความเป็นจริง
ฉันจากบ้านออกบินไปตามความฝัน
จากบ้านเกิด ไปออสเตรเลีย กลับมาฮ่องกง
แล้วกลับมานั่งเลียแผลอยู่ที่หน้าต่างห้องนอนตัวเอง
สุดท้ายได้เพียงฝันถึงวันเก่าๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วไฟก็เริ่มมอดลงทีละน้อยๆ
ผู้คนที่คุ้นหน้าที่เคยเป็นแรงผลักดันก็ห่างหาย
ชีวิตที่ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจเป็นอย่างนี้นี่เอง
มันช่างว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย
ฉันกำลังตะกายขึ้นมาจากหลุมนั้นอยู่
ความฝันฉันยังไม่ตาย หัวใจฉันยังคงเต้น
ยัง ยังฝังความฝันของฉันตอนนี้ไม่ได้
ใครก็ได้ช่วยฉุดฉันขึ้นไปจากหลุมนี่ที
อนิจจา..เหลียวหารอบกายกลับไม่เห็นใครเลย

"ได้เพียงปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปคล้ายกับความฝัน
ฝันไปว่า ฉันได้ไปเต้นรำบนหลังคา
แต่พอตื่นขึ้นมา ฉันก็ยังตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน"

สมุดไดอารี่เล่มเก่าๆ...เปิดอ่านทีไรก็ได้แต่ร้องไห้
สมเพชตัวเองเมื่อได้เห็นความฝันอันสดสวย
แล้วก็ได้แต่มองสิ่งที่เป็นไปในวันนี้ ห่างไกลออกไปทุกที
ฉันเห็นความภาคภูมิ ความเชื่อมั่น ความรักตัวเอง
แล้วสิ่งที่ฉันเป็นในวันนี้ มันคืออะไร
ฉันเห็นภาพตัวเองวิ่งตามหาอะไรบางอย่างมาตลอด
แล้ววันนี้ แต่ละเส้นทางที่ฉันเลือกเดิน มันวนกลับมาที่เดิม
ที่ผ่านมาทั้งหมดนั่นคืออะไร...ฉันเฝ้าถามตัวเอง
ทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตาที่เสียไป...มันหายไปไหนหมด
มันหายไปเอง หรือว่าเรากันแน่ที่ทำหล่นหาย

ฉันแค่อยากจะเริ่มต้นเขียนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับความฝันของฉัน
อยากเร่งเชื้อไฟที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้ลุกโชนขึ้นมาใหม่
เพราะเชื่อว่า ไม่ว่าภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ความเป็นเด็กในตัวเรา ความใฝ่ฝันข้างในนั้นมันยังคงเหมือนเดิม
แต่อาจเหลือเวลาอีกเพียงไม่นาน
ก่อนที่มันจะเลือนหายไปอีกครั้ง



...I'll keep going en pointe and I'll die with my leg on the barre...