2555/04/22


การปลดปล่อย
การถมเต็ม
การละทิ้ง การรับมา
การฟิตได้พอดี
เคว้งคว้างถ้ามันไม่พอดี รู้สึกภายในไม่อิ่มเต็ม
สูญเสียความเป็นตัวเอง

ละทิ้งสิ่งเก่า เพื่อรับสิ่งใหม่
เราทิ้งก่อน จึงมีที่จะรับเข้า
หรือว่ามันแทรกเข้ามา สิ่งเก่าจึงกระเด็นออกไป
หรือว่ามันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
เหมือนแย่งกันเข้าและออกจากประตู
ตัวเราคือช่องประตู

เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
เราจะพร้อมจะละทิ้งสิ่งเก่าหากมีสิ่งใหม่เข้ามา
เราเองจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นถาวรหรือไม่
ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากับสิ่งใหม่นั้นเข้ากันได้ดีรึเปล่า
และเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นคืออะไร
ถ้าเหตุผลนั้นมีอิทธิพลกับเรา เราจะเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคน
เราจะรับสิ่งใหม่นั้นเข้ามาในชีวิต
เราจะมีความสุข ตราบเท่าที่อิทธิพลนั้นยังคงอยู่
มันคือการพี้ยา
แต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ลง เราอาจจะพบว่าเราได้ internalize สิ่งใหม่นั้นเข้ามาเป็นตัวเราแล้ว
แต่ถ้าทำไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้รักสิ่งใหม่ เราจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้
เราจะล่องลอยเคว้งคว้างหาจุดหมายไม่เจอ หลักของตัวเองหายไป
เพราะละทิ้งสิ่งเก่าไปแล้ว แต่สิ่งใหม่กลับไม่ใช่คำตอบ
มันไม่เติมเต็ม และมันอาจจะทำเราเจ็บ เจ็บแบบโหวงๆ ด้วย
โดยไม่รูว่าเราพยายามยังไม่พอ หรือว่าสิ่งใหม่นั้น มันไม่อาจเป็นตัวเราได้จริงๆ
แล้วเมื่อได้กลับไปหาสิ่งที่เคยเติมเราให้เต็ม
เมื่อนั้นมันคือ the return to innocence จริงๆ
แล้วความทรงจำจะหลั่งไหลกลับคืนมาว่า เราคือใคร
สองเท้าเราจะยืนหยัดบนพื้น เราจะรู้สึกถึงความมั่นคงของตัวเราเอง
เรารู้สึกได้ว่าพื้นรองรับตัวเราเอาไว้ และเรามีอิสระเต็มที่ในสิ่งที่เราเป็น


ตัวเรานั้นคือตัวไหน mind หรือ spirit
หรือว่าจริงๆ แล้ว spirit ทำได้ทุกอย่าง แต่ mind จำกัดอยู่
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งที่เรียกว่า gift นั้นอยู่ใน mind หรือ spirit
mind อาจจะต้องถูกกำจัดไป เพื่อ reveal สิ่งที่เรามีอยู่ใน spirit
spirit ของเรากับของ universal มี quality เหมือนกันไหม คืออันเดียวกันไหม
หรือว่า universal assign งานบางอย่างให้เรา เราจึงมี quality เฉพาะ
บางทีเราอาจจะเข้าถึงสิ่งที่เรามีใน spirit อยู่แล้ว เป็น innocence ของเรา
แต่เพราะ intellect เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เราเอา mind ไปบังมันอีก
แล้วก็บอกตัวเองว่า เราต้องทำได้ เพราะ spirit เป็น universal มันต้องทำได้ทุกอย่าง

ประเด็นก็กลับไปอยู่ที่เดิมอีก spirit กับ universal spirit คืออันเดียวรึเปล่า

เมื่อบทเพลงไหลเข้าสู่จิตใจ พันธนาการจึงคลายออก
mind จึงหายไป และเราได้สื่อสารกับ spirit ของเราจริงๆ
การเคลื่อนไหวในพันธนาการมันเป็นยังไง
เมื่อเราอยากจะไป แต่ขาไม่ยอมก้าว หรือก้าวไม่ได้



The real world is belong to the dreamers
The dream world is belong to those who refuse to make the dream come true.







2555/04/12

เพราะมันเกิดขึ้น เราจึงรู้สึก
ไม่ได้เข้ามาในนี้นานเพราะยังทำใจไม่ได้
แต่วันนี้ ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี แต่เข้ามาเพราะคิดถึงเหลือเกิน
ใช่, คิดถึงเธอ

ชีวิตที่สิงคโปร์ก็เริ่มจะตั้งหลักของมันได้แล้ว
วันนี้ Edwin ให้ทำแบบฝึกหัด feel the group breath
เราจะเต้นท่าเดียวกัน เราจะหายใจพร้อมกัน

แต่เราจะไม่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ควรจะเกิด
เราอาจจะเริ่มเต้นพร้อมกัน แต่เมื่อใครคนหนึ่งตัดสินใจเดินออกไป
อีกคนก็ต้องเต้นต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่ออยู่ด้วยกัน เราต้อง feel กัน เราต้อง connect กัน
เราจะเอาตัวของเราไปไว้ในตัวอีกคนหนึ่ง เพื่อที่จะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน
แต่เราต้องพร้อมเสมอที่จะเดินแยกทางกันไป
และเอาตัวของเรากลับมาดำเนินต่อไปให้ได้
และตราบใดที่เรายังคงรักษาลมหายใจของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เราจะเดินกลับมาเพื่อเต้นด้วยกันได้ต่อไปอย่างไม่มีสะดุด
เพราะแม้แต่เรากำลังหันหลังให้กัน เราก็รู้ว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่
มันเป็น deep connection ที่มีแต่ dancer เท่านั้นที่เข้าใจ

ดูๆ ไปไม่ต่างอะไรกับชีวิตเลยเนอะ

เราฟังแล้วเราก็แทบจะน้ำตาไหล เราเข้าใจมันอย่างดี
เราเคยไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เหรอเจน เจนจำมันได้ไหม
มันเจ็บตรงที่วันนี้เราไม่ feel เธอ
และเราก็กลัวว่า มันจะไม่มีวันกลับมา feel อีกแล้ว

น้ำตาแทบไหลอีกครั้งเมื่อเธอบอกว่าเธออาจจะไม่ต่อ contract
เธอถามเรื่องเลิกสัญญา .. เรากำลังจะต้องแยกจากกันแล้วใช่ไหม
เราคิดว่าเราหายดีแล้วเสียอีก แต่พอเจอกับสถานการณ์แบบนี้
ถึงได้รู้ว่า ไม่เลย ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ก็ยังรักเธออยู่อย่างนั้นเอง
ยังคงอยากจะเดินกับเธอ ยังคงอยากจะเต้นกับเธอ
แม้ว่าหลังๆ การอยู่กับเธอเป็นความอึดอัดมากไปกว่าความสบายใจแล้วก็ตาม
เรายังไม่พร้อมเดินคนเดียวจริงๆ
เราไม่พร้อมเลย
มันคงเป็นความเคยชิน .. มีนบอกไว้
เคยชินที่มีเธอเดินข้างๆ ที่มีเธอสู้มาด้วยกัน
ที่มีเธอฝันมาด้วยกัน แล้วจู่ๆ มันก็หายไป
บางทีเราก็อยากจะหลอกตัวเองนะ ว่าเราฝันไปทั้งหมด
ฝันไปว่าเคยรู้จักเธอ จริงๆ แล้วเธอไม่มีตัวตน
พอคิดถึงตรงนี้เราก็คิดอยากจะให้เรานอนหลับ
แล้วตื่นขึ้นมาที่ชั้นลอยของบีซีบี เจอเธอ เจออั๋น เจอพี่แคท
เจอเธอคนเดิมที่เราเคยรู้จัก แล้วเราก็แค่ตื่นจากฝันร้าย
เราจะตื่นจากความจริงขึ้นมาได้ความฝันได้อย่างไร

บางทีเราอยากจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะฟังเรา ที่เราสามารถเล่าความอึดอัดนี้ให้ฟังได้

status ที่เธอขึ้นวันนั้นเธอหมายถึงเราใช่ไหม
..ถ้าเพื่อนคิดกับเราเกินเพื่อนเราควรทำอย่างไร
เราทำหรือไม่ทำอะไรก็ดูจะไปทำให้เขาเป็นเดือดเป็นร้อน
ไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลย เหมือนเราไปแกล้งเขา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คิดอะไรเลย..

เธอกำลังพูดถึงเรารึเปล่า แล้วเธอก็ลบมันออกไป ไม่ก็ hide เราซะ
มีคนบอกให้เธอถาม .. บางทีก็อยากให้ถาม เพราะบางครั้งก็อยากจะอธิบายเหมือนกัน
อยากให้เข้าใจว่าระหว่าง 1 กะ 2 มันยังมี 1.. ทศนิยมอีกมากมายไม่รู้จบ
ในชีิวิตจริง จะมาใช้วิธีการเด็กประถมที่ว่า "1.4 ลงมาให้ปัดลง 1.5 ขึ้นไปให้ปัดขึ้น" มันคงไม่ได้หรอก

เราอาจจะคิดกับเธอเกินเพื่อน แต่ก็ไม่บ้า หรือกล้าพอที่จะคิดกับเธอแบบนั้น
แต่ก็ยอมรับว่าเรามีความสุขที่ได้รู้จักกับเธอ
เรารู้สึกว่าเธอคือคนที่เราตามหามานาน คงเพราะเราสู้คนเดียวมาตลอด
จนเหนื่อย จนเลิกสู้ เพราะคิดว่าเราคงบ้าไปเองคนเดียวทั้งหมด
สิ่งที่คิดสิ่งที่ฝันมันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน แล้วไงล่ะ
จู่ๆ เราก็มาเจอเธอ แล้วเธอก็ทำให้เราเชื่ออีกครั้งว่ามันเป็นไปได้
เธอทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้บ้า เธอคืนความฝันให้เรา มีอะไรสำคัญไปกว่านั้นอีก
การได้เดินทางกะเธอในช่วงเวลาหนึ่ง มันทำให้เรารู้อะไรมากมาย
มันทำให้เรารู้ว่าการมีเพื่อนร่วมทางที่คิดอะไรเหมือนๆ กัน เดินไปด้วยกันนั้น
มันทำให้ความเหนื่อยลดลง ทำให้บ้าได้มากขึ้น กล้าที่จะฝันได้มากกว่าเดิม

เราคิด.. เราคิดอยากมีเธอเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะเรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความหมายเพิ่มขึ้นเวลามีเธอเดินอยู่ข้างๆ
เธอมีทุกอย่างที่อยากมี เธอทำได้ทุกอย่างที่เราอยากทำได้บ้าง
เราชื่นชมเธอมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเต้น
แล้วเราก็เอาเธอเป็น inspiration อยู่เงียบๆ มาตลอด
เวลามีเพื่อนอย่างเธอคอยผลักดันกันไปข้างหน้า
เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีจุดหมายปลายทาง และเรามีคุณค่าในตัวเอง
นั่นคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนที่มีค่ามากในชีวิตเรา
เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือไร้จุดยืนเพราะเธออย่างที่เธอคิดหรอกนะ
แต่เราชอบตัวเองตอนที่มีเธออยู่ในชีวิตด้วย
และนั่นทำให้เรามองหาวิถีทางที่จะปรับแพลนชีวิตของตัวเองให้เข้ากับเธอ
เพื่ออะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเราแอบหวังว่าเราอาจจะเดินทางต่อไปด้วยกันได้ตลอดไป
แต่มันคงจะมากเกินไป เธอคงมองเป็นภาระไปเสียแล้ว เราขอโทษด้วยแล้วกัน

เราอาจจะคิดกับเธอเกินเพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เพราะเรามองเธอเป็นเพื่อนร่วทางเดินชีวิต
เหมือนเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเราที่เราตามหาตัวเอง
เรารู้จักเธอ มันเหมือนกับเราได้รู้จักตัวเองในอีกภาคหนึ่ง
ภาคที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และมั่นใจ เธอคงเข้าใจเรานะ
อะไรที่เราก้าวล้ำเส้นของเธอเข้าไป และทำให้เธอไม่ชอบ
เราขอโทษจริงๆ เราขอโทษ

ที่เรารู้สึกแย่เพราะเรายังคงนึกเสียดายวันดีๆ ที่มันผ่านมาแล้วแค่นั้นแหละ
เราเสียใจที่เธอไม่ได้อยากให้เราเดินข้างๆ เธอ
เหมือนที่เราอยากให้เธอเดินข้างๆ เรา
เราเสียดาย connection ที่เราเคยมี ที่เราเคยรู้สึกเวลาที่เราได้เต้นด้วยกัน
วันนี้มันหายไปแล้ว มันหายไปหมดเลย

เธอเข้าใจเรานะ เราเองก็คงจะอยู่ห่างๆ
และจะห่างให้มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าเราจะเคย feel กัน เคยหายใจด้วยกัน เคย connect กัน
แต่เมื่อเธอจะเดินจากไป เราก็จะยังเต้นต่อไปให้ได้
เราจะทำได้
แค่ยังไม่ได้เท่านั้นเอง

ทำไมน้ำตายังไม่หมดเสียที
ร้องเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที
ทรมานมากมาย