2554/01/16

มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างทีเดียว
การไปมหาสารคามคือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
เมื่อเราบอกตัวเองว่า เราเบื่อแล้ววงการนี้
ฟังอาจารย์ประมวลพูดในจังหวะนั้น เราก็ตัดสินใจไปอินเดียเลย
แล้วเดือนกันยายน 2010 เราก็ได้ไปอินเดียจริงๆ
พอกลับมา บอกตัวเองว่า … เราจะไม่เต้นแล้ว
เราต้องก้าวต่อไป การเต้นคงส่งเรามาถึงสุดทางแล้ว
คงหยุดไม่ได้ แต่การเต้นคงไม่ใช่ priority ของชีวิตอีกต่อไป
คงไปเข้าคลาส แต่คงไม่ดิ้นรนจะเป็นนักเต้นอย่างที่เคยฝันอีกต่อไปแล้ว
เราคุยกับพี่เอ๋ คุยกับครูติ๊บ บอกพี่แคท
แล้วเราก็พบว่า เราไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย
เหมือนเด็กที่จบมัธยมแล้วต้องเรียนต่ออุดมศึกษา
ไปต่อ ต้องไปต่อ เราบอกตัวเองอย่างนั้น
เราคิดอย่างนั้น

แต่การก้าวเข้าไปในบีซีบีก็ทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น
การที่ได้เต้นทริโอในฐานะผู้ที่ถูกเลือกทำให้เรารู้สึก "ฟื้น"
กับเจซี่ (ชื่อเดิมจอย) กับพี่ให้ … contemporary dance piece
จากที่ครั้งแรกคิดจะเต้นเป็นการ "ไหว้ครู" ก่อนจะก้าว "ต่อไป"
แต่ไปๆ มาๆ คงเพราะเพื่อน สังคม สิ่งแวดล้อมที่บีซีบี
เรามีความสุขมากกับการเต้นใน piece นี้
การเคลื่อนไหวที่คุ้นเคย การเต้นที่เราเคยได้เต้น
contemporary dance ทำให้ชีวิตรู้สึกดีอย่างนี้เอง
เราลืมมันไปแล้ว หรือว่าเราไม่เคยรู้สึก เราไม่แน่ใจ
ตอนอยู่ที่ dance centre การเต้นคอมเทมเหมือนเป็นยาขม
เพราะเราต้องเต้นอยู่กับพี่เอ๋ กับพี่ๆ เต้นในฐานะเด็กคนหนึ่ง
ที่ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่ ให้เขากดอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะไม่ตั้งใจ
เราเลยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ คงเพราะเราเองแหละที่ยังไม่โต
แต่ที่นี่ เราเข้ามาอย่างผู้ใหย่ เราอยู่ในฐานะนักเต้นคนหนึ่ง
มีศักดิ์มีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนที่เต้นกับเรา
เราเลยมีความสุขมาก รู้สึกได้ปลดปล่อยเต็มที่
แม้การซ้อมกับเจซี่แรกๆ อึดอัดบ้างเพราะไม่สนิท ไม่คุ้นเคยกับบุคลิกนิสัย
แต่การซ้อมหล่อหลอมเราเข้าด้วยกัน จนตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันไปแล้ว
รัก contemporary dance จริงๆ เลย เรามีความสุขมากที่ได้เต้นของพี่ปิ๊ก

มาถึง piece ของพี่แคท สองสามครั้งแรกที่ไปซ้อม
เราโคตรหงุดหงิดเลย เพราะเลิกดึกมาก ท่าก็ไม่คุ้นเคย
แต่พอการซ้อมดำเนินไป ความสนิทสนมเกิดขึ้น
ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งทำให้รู้สึกชีวิตมีพลัง มีกำลังใจ ..มีเพื่อน..
การเต้นอย่างสุดพลังอย่างนี้ เรารู้สึกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน
ครั้งแรกคือธง ที่เนเธอร์แลนด์ ความสุดพลังของธงใหญ่
เสียงสะบัดของผ้าธง กับพลังงานที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหมือนใช้น้ำมันหยดสุดท้ายในถัง ก่อนที่จะเดินออกจากสนามอย่างไร้วิญญาณ
...เพราะใช้ไปหมดแล้ว...
นั่นคือความวิเศษของชีวิต มันสุดยอดมาก รู้สึกเกิดมาคุ้มแล้วทีเดียว

ต่อมาคือ Chorus Line บรรยากาศการซ้อมกับพี่อร การเต้นที่เหนื่อยปลิ้น
มันสนุกมาก มันเหนื่อยมาก และมันมันมาก
ต่างจากความเหนื่อยตอนสอบ Solo Seal มากเลยแหละ
แต่ Chorus Line ก็ไม่เหลือความทรงจำให้เราเท่าไหร่
และจะอย่างไรก็สู้ SJC Band ของเราไม่ได้เลย

จนมาถึงของพี่แคท ความรากเลือดยังมีอยู่จริง
และมันทำให้เรารู้สึกว่าพลังงานที่หลบซ่อนอยู่ในตัวเราตั้งแต่อยู่ SJC Band
แล้วก็ได้แต่แพล็มๆ ออกมาเป็นระยะ
แต่ไม่เคยสุดพลังเท่านี้มาก่อน
ความเหนื่อยที่ต้องตะโกนออกมา
เหนื่อยจนต้องเปล่งเสียงร้อง เพื่อเรียกพลังตัวเอง
เหนื่อยชนิดที่ยืนแทบไม่ไหว หลังจากเต้นออกไป
ความสุดๆ แบบนี้เอง คือ passion ที่เราสงสัยว่าเราเคยมีมันหรือเปล่า

การได้ร่วมงานกับบีซีบีคราวนี้ วันที่ 23-24 ธันวาคม 2010
เราได้ค้นพบตัวเองอีกครั้ง ตัวเราเองที่มันเข้าไปซ่อนอยู่ข้างใน
ตัวเราเองที่มีความหมาย คนที่เราชื่นชม คนที่เราดูแลมันอย่างดี
โลกแบบนั้นของการเต้นยังมีอยู่จริงๆ
มันไม่ได้จากเราไปพร้อมๆ กับเราที่ตัดใจก้าวออกจากที่เดิมที่เราเคยอยู่
มันยังมีอยู่ แล้วมันก็อยู่ในตัวเรานี่เอง มันจะก้าวไปพร้อมๆ กับเรา

Black Swan ที่เรานั่งดูมันยิ่งทำให้เราย้อนกลับไปสู่วันเก่าๆ
ความบ้า ความ into ที่เราทุ่มให้กับการเต้นจนสุดจิตสุดใจ
มันดึงเราย้อนกลับไป แล้วเราก็ลุกขึ้นมาเกาะกำแพงทำบาร์เวิร์ค
ที่เชียงใหม่ ที่ที่เรามาสอนโยคะ

ตอนนี้ เราคงหันหลังให้การเต้นไม่ได้แล้ว
เราจะทำมันคู่กันไป เราจะต้องหาจุดสมดุล
การหาจุดสมดุลของเราดำเนินมาตลอด
แต่สองขาที่เคยแยกออกจากกันไปคนละทิศละทาง
มันค่อยๆ แคบลงทีละนิดๆ
แล้วเราก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น
เรามั่นใจ

ไม่มีความคิดเห็น: